น้ำตาเทียม ใช้ให้ถูก รู้จริง…ต้องถามหมอยา 

น้ำตาเทียม จัดอยู่ในหมวดยาแผนปัจจุบัน ที่ใช้ภายนอก ใช้เพื่อช่วยหล่อลื่นลูกตา และบรรเทาอาการตาแห้ง ระคายเคืองตา แม้ว่า ส่วนประกอบต่าง ๆ ของน้ำตาเทียม จะทำให้น้ำตาเทียม มีคุณสมบัติเหมือนน้ำตาธรรมชาติ แต่เรื่องที่ผู้ใช้ควรคำนึงถึง ก็คือ สารกันเสียในน้ำตาเทียม (preservative)

สามารถแบ่งประเภทของน้ำตาเทียม ตามชนิดของสารกันเสีย (Preservative) ได้ 3 ประเภท ดังนี้

1. Chemical preservative ที่นิยมใช้ คือ benzalkonium chloride (BAK) เพราะมีประสิทธิภาพสูงสุดในการฆ่าเชื้อโรคต่างๆ ไม่ควรใช้เกิน 4 ครั้ง/วัน

ข้อเสีย

  • ทำลายเซลล์ผิวกระจกตา(Corneal epithelium)
  • disrupt tear film ทำให้ฟิล์มน้ำตาแตกตัวทันทีที่ใช้ จึงรักษาตาแห้งได้ไม่ดีเท่าที่ควร
  • เกิดอาการแพ้ แสบตา ระคายเคืองตาได้
  • ในระยะยาวเพิ่มความเสี่ยงการเกิดต้อหิน

ปัจจุบัน จึงมีการใช้สารกันเสีย ที่เป็น mild preservative เพื่อลดผลข้างเคียง

2. Mild preservative ที่นิยมใช้ คือ

  • Polyquaterium-1 (Polyquad®)

ป้องกันเชื้อแบคทีเรียและยีสต์ เป็นพิษต่อกระจกตาน้อยกว่า BAK เพราะมีน้ำหนักโมเลกุลใหญ่ จึงเข้าสู่เยื่อบุกระจกตา (ocular surface) ยาก

  • Stabilized oxychlorocomplex (Purite®)

ป้องกันเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และยีสต์ เมื่อสารกันเสียชนิดนี้ได้รับแสง จะแตกตัวเป็น chloride free radial ยับยั้งการสร้างโปรตีนของเชื้อ

  • Sodium perborate ป้องกันเชื้อแบคทีเรียและยีสต์ สารกันเสียนี้จะสลายเป็น

Hydrogen peroxide free radical มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ

ข้อเสีย

ประสิทธิภาพครอบคลุมเชื้อน้อยกว่า Chemical preservative และราคาสูงกว่าแบบ Chemical preservative

3. ไม่มีสารกันเสีย (Preservative free)

ข้อเสีย

  • บรรจุภัณฑ์ปลายแหลม เด็กและผู้สูงอายุใช้ไม่สะดวก
  • ราคาสูงกว่าทุกแบบ
  • ปนเปื้อนเชื้อโรคได้ง่าย เพราะไม่มีสารกันเสีย
  • บางคนใช้ผิดวิธี เผลอเอาปลายหลอดสัมผัสกับสิ่งอื่น ทำให้ปนเปื้อนเชื้อได้ง่าย
  • มีอายุเพียง 24 ชั่วโมง หลังเปิดใช้แล้ว
น้ำตาเทียม กับ ยาหยอดตา

น้ำตาเทียม กับ ยาหยอดตา ❌ไม่เหมือนกัน ใช้แทนกันไม่ได้❌

น้ำตาเทียม มีคุณสมบัติคล้ายกับน้ำตาตามธรรมชาติ

ส่วน ยาหยอดตา มีตัวยา รักษาอาการของโรคที่เกี่ยวกับดวงตา เช่น ยาหยอดตาที่มีส่วนผสมของยาปฏิชีวนะใช้รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียของดวงตา

คำแนะนำอื่นๆ

  • ล้างมือให้สะอาดก่อนใช้ทุกครั้ง
  • ไม่ควรใช้ร่วมกับผู้อื่น
  • เก็บรักษาที่อุณหภูมิห้องและเก็บในที่แห้ง
  • ระมัดระวังไม่ให้ปลายหลอดสัมผัสกับดวงตาหรือส่วนใดๆ ขณะหยอด
  • สำหรับผู้ใส่คอนแทคเลนส์

ถ้าจำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียมที่มีสารกันเสีย ควรถอดคอนแทคเลนส์ออก ก่อนหยอดน้ำตาเทียม และใส่คอนแทคเลนส์หลังจากหยอดตาเสร็จแล้วประมาณ 10 นาที เพื่อป้องกันไม่ให้คอนแทคเลนส์ดูดซับสารกันเสีย ซึ่งจะไปทำลายเซลล์เยื่อบุกระจกตาได้

  • อาจรู้สึกขมในคอหลังใช้ ซึ่งการใช้นิ้วมือกดหัวตาเบา ๆ จะช่วยลดการเกิดอาการขมคอได้
  • น้ำตาเทียมแบบรายเดือน (multiple-dose)มีอายุ 30 วัน หลังเปิดใช้
  • น้ำตาเทียมแบบรายวัน (single-dose) กระเปาะเล็ก มีอายุ 24 ชั่วโมง หลังเปิดใช้
  • ควรทิ้งน้ำตาเทียมที่หมดอายุ แม้ยังคงมีน้ำตาเทียมเหลืออยู่ในขวด
  • หากเกิดอาการแพ้หรืออาการผิดปกติบางอย่าง เช่น ระคายเคืองตาผิดปกติ, ตามัวจนมองเห็นผิดปกติแม้หยอดน้ำตาเทียมไปสักพักแล้ว, แสบตา, ปวดตา ต้องหยุดใช้ทันที หากหยุดใช้แล้วยังคงมีอาการให้รีบไปพบแพทย์
  • น้ำตาเทียม ใช้เพื่อบรรเทาอาการ ไม่สามารถรักษา หรือแก้ไขสาเหตุของอาการตาแห้งได้
  • สารอาหารที่ช่วยลดอาการตาแห้ง คือ กรดไขมันโอเมก้า 3 ที่มีDHA สูง, ลูทีนและซีแซนทีน, สังกะสี, วิตามินซี, วิตามินเอ,วิตามินอี
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ และลดการใช้สายตา ช่วยลดอาการตาแห้ง

————————————–

References (เอกสารอ้างอิง)

1. ธวิวรรน์ สวัสดิโสภานนท์. การใช้สารกันเสียในยาหยอดตา. GPO R&D newsletter 2555;19(2):16-8.

2. ภญ.นิตย์ธิดา ภัทรธีรกุล. การดูแลภาวะตาแห้ง.บทความวิชาการ ศูนย์การศึกษาต่อเนื่องทางเภสัชศาสตร์ 27 เม.ย.2560

3. Freeman PD, Kahook MY. Preservative in topical ophthalmic medication: Historical and clinical perspectives. Expert Rev Ophthalmol. 2009;4(1):59-64

4.สภาเภสัชกรรม. คู่มือทักษะตามเกณฑ์ความรู้ความสามารถทางวิชาชีพของผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม (สมรรถนะร่วม) พ.ศ. 2562. Available at: https://www.pharmacycouncil.org/index.php?option=content_detail&menuid=0&itemid=1433&catid=1

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง

error: Content is protected !!