รู้ทัน..แคลเซียมหรือหินปูนเกาะผนังหลอดเลือด

แคลเซียมหรือหินปูน-เกาะผนังหลอดเลือด

โดยปกติหลอดเลือดของคนเราจะมีความยืดหยุ่น มีลักษณะเหมือนท่อนำเลือดไหลไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย  แต่ถ้าเกิดมีคราบไขมัน คอลเลสเตอรอล และสารอื่นๆ เช่น แคลเซียมหรือหินปูนไปเกาะผนังหลอดเลือด ก็จะทำให้หลอดเลือดค่อยๆตีบและตันได้

บางกรณีอาจเกิดหลอดเลือดแตกได้ด้วย  ซึ่งมักเกิดจากความดันโลหิตสูง ที่ควบคุมไม่ดี เพราะมีสิ่งที่สะสมเกาะผนังหลอดเลือดอยู่ทำให้ผนังหลอดเลือดเปราะบาง อ่อนแออยู่แล้ว เมื่อมีแรงดันเลือดสูงจากความดันโลหิตสูง  หลอดเลือดทนไม่ไหว
ก็แตกได้

กระบวนการตีบตันของหลอดเลือดใช้เวลานานนับ 10 ปี ไม่มีอาการเตือน จนกว่าจะตีบตันไปมากแล้วจึงแสดงอาการ บางคนถึงขั้นหัวใจวาย หรือเส้นเลือดสมองแตกไปแล้วจึงรู้

การตีบตันของหลอดเลือด สามารถแสดงอาการได้แทบทุกส่วนของร่างกายที่มีเลือดไปเลี้ยง บริเวณที่พบบ่อยและเป็นปัญหาใหญ่ คือ ที่สมองและหัวใจ

ถ้าเป็นที่หลอดเลือดหัวใจ ก็ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันหรือโรคหลอดเลือดแดงอุดตัน  และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนทางหลอดเลือด  เช่น  หัวใจขาดเลือด  ที่จะมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก

ถ้าเป็นที่หลอดเลือดในสมอง ก็ทำให้เกิดอาการเส้นเลือดสมองอุดตัน  และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนทางหลอดเลือด เช่น  โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)  ที่จะมีอาการปากเบี้ยว พูดไม่ชัด แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก
ภาวะแทรกซ้อนทางหลอดเลือดที่ตามมา เป็นอันตราย อาจทำให้เกิดการเสียชีวิตอย่างเฉียบพลัน

 แคลเซียมหรือหินปูนเกาะผนังหลอดเลือด พบบ่อยมากขึ้นในปัจจุบัน และถือเป็นสัญญาณเตือนของโรคหัวใจและหลอดเลือด 

รู้หรือไม่! คนไทยป่วยเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่า 4.3 แสนคน และเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจกว่า 2 หมื่นคนต่อปี 

สาเหตุของแคลเซียมหรือหินปูนเกาะผนังหลอดเลือด ปัจจุบันไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของผู้คนเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะคนเมืองที่ต้องใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ มักทานอาหารฟาสต์ฟู้ด อาหารที่มีไขมันสูง สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ พักผ่อนน้อย สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดไขมันเกาะตามผนังหลอดเลือด เกิดความเสื่อมและการอักเสบของหลอดเลือด  เมื่อเกิดการอักเสบของหลอดเลือด เหมือนเป็นแผล ร่างกายพยายามจะซ่อมแซมหลอดเลือดด้วยการนำแคลเซียมไปอุดไว้ ทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง จนอาจนำไปสู่การเสียชีวิตจากโรคต่างๆ นอกจากนี้ภาวะกระดูกบางและโรคกระดูกพรุนเอง ก็เพิ่มความเสี่ยงแคลเซียมหรือหินปูนเกาะผนังหลอดเลือดได้ด้วย เพราะกระดูกบาง และกระดูกพรุน ร่างกายจะสลายมวลกระดูก หรือสูญเสียแคลเซียมออกจากกระดูกอยู่ตลอดเวลา 
ทำให้แคลเซียมในหลอดเลือดสูงขึ้น  และยิ่งในผู้ที่มีไขมันเกาะตามผนังหลอดเลือดอยู่แล้ว แปลว่าหลอดเลือดมีการอักเสบ  ยิ่งทำให้แคลเซียมไปเกาะผนังหลอดเลือด หลอดเลือดก็แข็ง และตีบตันมากขึ้น

ปัจจัยเสี่ยง…แคลเซียมหรือหินปูนเกาะผนังหลอดเลือด มีอะไรบ้าง ?

  1. LDL Cholesterol สูง
  2. ความดันโลหิตสูง  ความดันโลหิตสูง ทำให้หลอดเลือดอักเสบ หลอดเลือดอ่อนแอ  
  3. การสูบบุหรี่  ทำให้หลอดเลือดอักเสบ
  4. เบาหวาน   ระดับน้ำตาลในเลือดสูงทำให้หลอดเลือดอักเสบ
  5. การขาดการออกกำลังกาย  ซึ่งจะเพิ่มการสะสมไขมันในร่างกายและการสะสมไขมันในหลอดเลือด
  6. โรคอ้วน 
  7. พันธุกรรม   คนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด
  8. อายุมาก  หลอดเลือดใช้งานมานาน ผนังหลอดเลือดเกิดความเสื่อม
  9. กระดูกพรุน กระดูกบาง  ร่างกายสลายมวลกระดูก หรือสูญเสียแคลเซียมออกจากกระดูกอยู่ตลอดเวลา ทำให้แคลเซียมในหลอดเลือดสูงขึ้น
  10. ขาดวิตามิน K2 และวิตามินD  วิตามินทั้ง 2 ชนิดนี้เป็นตัวนำแคลเซียมเข้าสู่กระดูก ทำให้แคลเซียมอยู่ในบริเวณที่เหมาะสม ไม่เกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือดหรือเนื้อเยื่ออ่อน
  11. เสริมแคลเซียม (อาจเป็นสาเหตุ และไม่ใช่สาเหต)

เนื่องจากแคลเซียมมีหลายชนิด

  1. แคลเซียมที่ใช้โดยทั่วไป มีการละลายน้ำน้อย ดูดซึมไม่หมด ได้แก่ calcium carbonate , calciumcitrate, และ calcium gluconate มีการศึกษาวิจัยว่าอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้แคลเซียมหรือหินปูนเกาะผนังหลอดเลือดได้
  2. แคลเซียมที่ดูดซึมได้ดี ไม่ใช่สาเหตุของหินปูนหรือแคลเซียมเกาะผนังหลอดเลือด

Calcium L-threonate (แคลเซียมแอลทรีโอเนต ) มีคุณสมบัติดูดซึมได้ดีในตัวเอง  ดูดซึมโดย Passive transport แตกต่างจากแคลเซียมชนิดอื่นๆ และจากข้อมูลการศึกษาวิจัยทางคลินิก (clinical trial) หรือการศึกษาวิจัยในมนุษย์ ได้ศึกษาทางPharmacokinetics หรือ เภสัชจลนศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาหนึ่งที่อยู่ในหลักสูตรการเรียนเภสัช

โดย Pharmacokinetics จะหมายถึง การเป็นไปของยา เมื่อ ยาเข้าสู่ร่างกาย

พบว่า แคลเซียมแอลทรีโอเนต ดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อวัดปริมาณในเลือดที่เวลาต่างๆ พบว่าไม่มีการตกค้างในกระแสเลือด

นอกจากนี้องค์การความปลอดภัยอาหารแห่งยุโรป (EFSA) สนับสนุนการใช้แคลเซียมแอลทรีโอเนต เป็นแหล่งแคลเซียมในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้อย่างปลอดภัย

สรุป!!  แคลเซียมเสริมไม่ใช่ สาเหตุที่สำคัญ ที่ทำให้เกิดแคลเซียมหรือหินปูนเกาะผนังหลอดเลือด สิ่งสำคัญคือปัจจัยที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ทั้งหมด คือ ไขมันและการอักเสบของหลอดเลือด
แต่หากมีความกังวลใจ ควรเลือกแคลเซียมที่มีการดูดซึมที่ดี ไม่ตกค้างในหลอดเลือด อย่างแคลเซียมแอลทรีโอเนต แล้วอาจเสริมด้วยวิตามินK2  วิตามินD เพื่อช่วยนำแคลเซียมส่วนเกินจากภาวะต่างๆ  ไปเก็บที่กระดูก ไม่เกาะที่ผนังหลอดเลือด

การทานแคลเซียมเสริมจำเป็นหรือไม่ ? การสำรวจสุขภาพประชากร ของกรมอนามัยกระทรวงสาธารณสุข ในปีต่างๆ ตั้งแต่ 2536, 2546,2547 พบว่าคนไทยในวัยผู้ใหญ่ ได้รับแคลเซียมจากอาหาร ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดมาก ดังนั้น การทานแคลเซียมเสริมจึงเป็นเรื่องสำคัญ

การตรวจ Calcium Score (CT Coronary Calcium Score 

เป็นการตรวจหาหินปูนหรือแคลเซียมที่อาจเกาะอยู่ที่ผนังหลอดเลือด ลิ้นหัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ด้วยเทคนิคการสแกนคอมพิวเตอร์ของหัวใจ  โดยจะสร้างภาพของหินปูนเกาะในหลอดเลือด และคำนวณค่าความเสี่ยงเบื้องต้น

ผลระดับคะแนน ตั้งแต่ 0-400 ขึ้นไป

  • คะแนน  0 แปลว่าความเสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลันต่ำ
  • คะแนน 1-10 ความเสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลันน้อย หรือเพียง 10%
  • คะแนน 11-100 ความเสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลันปานกลาง แพทย์อาจแนะนำให้ออกกำลังกาย หรือปรับอาหารให้เหมาะสม
  • คะแนน 101-400 ปริมาณหินปูนปานกลางถึงสูง แพทย์อาจแนะนำการรักษาหรือการตรวจเพิ่มเติม
  • คะแนน 400 ขึ้นไป อาจมีภาวะหลอดเลือดตีบแฝงอยู่ และมีโอกาสหัวใจวายเฉียบพลันสูง แพทย์อาจพิจารณาการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

การป้องกันรักษา

1. บุคคลที่มีปัจจัยเสี่ยง แคลเซียมหรือหินปูนเกาะผนังหลอดเลือด ทั้ง 11 ข้อ ข้างต้น (  LDL Cholesterol สูง ,ความดันโลหิตสูง, สูบบุหรี่, เบาหวาน,การขาดการออกกำลังกาย, โรคอ้วน,พันธุกรรม คนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด,อายุมาก, กระดูกพรุน กระดูกบาง, ขาดวิตามินK2 และวิตามินD, เสริมแคลเซียมที่ดูดซึมน้อย)

แม้ยังไม่มีอาการก็ควรตรวจ Calcium Score (CT Coronary Calcium Score ) ควบคู่กับการตรวจไขมัน เบาหวานและความดันเป็นประจำทุกปี

2.เลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันดี หลีกเลี่ยงอาหารไขมันอิ่มตัวสูง แป้ง น้ำตาลที่มากเกินไป

3.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ  อย่างน้อย 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์

4.หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่

5. เครียดน้อย รู้จักผ่อนคลายความเครียด  ความเครียดสูงทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น

6. เสริมวิตามินK2  และวิตามินD
ช่วยนำแคลเซียมส่วนเกินในหลอดเลือดไปเก็บสะสมในกระดูก ไม่เกาะที่ผนังหลอดเลือด  เป็นวิตามินที่คนส่วนใหญ่ขาด

7. แพทย์อาจพิจารณาให้ยาสแตติน (Statins) หรืออื่น ๆ เพื่อช่วยลดไขมันและควบคุมระดับคอเลสเตอรอล

References (เอกสารอ้างอิง)

1. สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. ปริมาณสารอาหารอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย พ.ศ. 2563.

2.Myung SK, et al. Calcium supplements and risk of cardiovascular disease: A meta-analysis of clinical trials. Nutrients. 2021; doi:10.3390/nu13020368.

3. Wang HY, Hu P, Jiang J. Pharmacokinetics and safety of calcium L-threonate in healthy volunteers after single and multiple oral administrations. Acta Pharmacol Sin 2011;32:1555-60.

4. European Food Safety Authority (EFSA). Opinion on calcium L-threonate for use as a source of calcium in food supplements. EFSA J 2008;866:1-20.

5.บทความ รพ.พญาไท หินปูนเกาะหลอดเลือดหัวใจ ตัวการร้ายทำหลอดเลือดหัวใจตีบ

https://www.phyathai.com/th/article/calcified-plaques-coronary-artery-disease

6. บทความ รพ.บำรุงราษฎร์ หินปูน เกาะหลอดเลือดหัวใจ Level ไหน..เสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลัน

https://www.bumrungrad.com/th/health-blog/november-2020/calcified-plaques-increase-risk-heart

error: Content is protected !!