ไลโคปีน (Lycopene) เป็นสารสำคัญที่พบได้ในผักผลไม้สีแดงส้ม จัดเป็นสารประกอบในกลุ่มแคโรทีนอยด์ พบไลโคปีนได้มากใน มะเขือเทศ แตงโม เกรพฟรุตสีชมพู ฝรั่งสีชมพู และมะละกอ เป็นต้น
ความว้าว ! ของไลโคปีน ไม่ใช่แค่เรื่องบำรุงผิวพรรณเท่านั้นค่ะ แต่ยังช่วยในการลดปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ และหลอดเลือด ,ช่วยต้านมะเร็งต่อมลูกหมาก และบำรุงสายตา อีกด้วย
เนื่องจากคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระของสารไลโคปีน และช่วยปกป้องความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย
พบว่าสารไลโคปีน มีประสิทธิภาพเหนือกว่าสารเบต้าแคโรทีนและสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์อื่นๆในการยับยั้งการเจริญเติบโคของเซลล์มะเร็ง
และยังพบว่าสารไลโคพีนสามารถช่วยลดโอกาสความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในต่อมลูกหมากได้มากถึงร้อยละ 20
การศึกษาในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ระบุว่า การป้องกันมะเร็งให้ได้ผล ควรกินมะเขือเทศให้ได้ไลโคปีนอย่างน้อย 6.5 มิลลิกรัม/วัน เทียบเท่ากับการกินอาหารที่มีมะเขือเทศเป็นส่วนผสมหลักประมาณ 10 ครั้ง/สัปดาห์
นอกจากนี้แล้ว ไลโคปีน ยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญกับดวงตาของเราอย่างมากมาย
ไลโคปีน (lycopene ) สำคัญต่อสุขภาพดวงตา ดังนี้
1. โรคจอประสาทตาเสื่อม หรือจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม (Macular Degeneration)
เป็นกลุ่มโรคที่เกิดจากการเสื่อมของบริเวณจุดภาพชัดของจอตา ทำให้สูญเสียการมองเห็นส่วนกลางของภาพ หากพบในผู้มีอายุ 50 ปี ขึ้นไป จะเรียกว่า “โรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ” (Age related Macular degeneration)
รู้หรือไม่ !
พบว่าคนที่มีระดับไลโคปีน ในเลือดต่ำมีโอกาสเป็นจอประสาทตาเสื่อม (AMD) มากกว่าปกติถึงสองเท่า
ไลโคปีน เป็นสารตัวกลางในการสังเคราะห์เบต้าแคโรทีนและแซนโทฟิล (แคโรทีนอยด์ ที่มี oxygen ในโมเลกุล ได้แก่ Lutein และ Zeaxanthin) ช่วยปกป้องเยื่อบุมีสารรงควัตถุของจอประสาทตา
2. ช่วยยับยั้งการเสื่อมของกล้ามเนื้อกระบอกตา
3. ต้อกระจก และเบาหวานขึ้นตา ลดการดำเนินไปของต้อกระจก (เลนส์ตาขุ่น)
โดยเฉพาะต้อกระจกที่เกิดจากภาวะเบาหวาน ไลโคปีนจะช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเลนส์ตา ซึ่งเกิดจากน้ำตาลสูงของภาวะเบาหวาน
4. ต้อหิน ช่วยบรรเทาความเสียหายของเส้นประสาทตา ที่เกิดจากความดันลูกตา และปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ของต้อหิน
ควรบริโภคมะเขืออย่างไรให้ได้ไลโคปีน (Lycopene ) สูง
แต่คุณค่าส่วนอื่นๆ ก็ยังดีกว่าอาหารอีกหลายชนิด
เพราะจากการศึกษาเปรียบเทียบปริมาณไลโคปีนในผลิตภัณฑ์ที่ทำจากมะเขือเทศ (ที่น้ำหนักเท่ากัน) สามารถเรียงลำดับไลโคปีนจากน้อยไปมาก ได้คือ
มะเขือเทศสด < มะเขือเทศปรุงสุก <ซุปมะเขือเทศเข้มข้น < น้ำมะเขือเทศ <ซอสมะเขือเทศ <มะเขือเทศผง < ผลิตภัณฑ์มะเขือเทศเข้มข้น
แต่ถ้าใครไม่ชอบการทานมะเขือเทศ ก็ไม่ต้องเสียใจไปค่ะ เพราะในปัจจุบันมีกรรมวิธี
การสกัดไลโคปีนจากมะเขือเทศ ออกมาอยู่ในรูปแบบเม็ด ทานง่าย สะดวก รวดเร็ว
ปริมาณที่แนะนำต่อวัน
15 – 45 มิลลิกรัม / วัน *
ทั้งนี้ปริมาณไลโคปีนที่แนะนำต่อวันจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ เพศ และสุขภาพโดยรวม ไม่มีการกำหนดเฉพาะตายตัว
ผลข้างเคียง
หากรับประทานในปริมาณปกติ 15- 45 มิลลิกรัม/วัน ไม่มีผลข้างเคียง
แต่หากรับประทานมากเกินไป อาจทำให้
คลื่นไส้ ตัวเหลือง โดยอาการจะหายไปได้เองหลังจากหยุดรับประทาน
เรียบเรียงบทความโดย ภญ.นวพร สุขเดโชสว่าง B.Pharm of Mahidol University
เภสัชศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหิดล